วันเสาร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ลุยเดี่ยวเมืองสามหมอก ปางอุ๋ง ปาย แม่ฮ่องสอน ม่อนแจ่ม เชียงใหม่


ลุยเดี่ยวเมืองสามหมอก ปางอุ๋ง ปาย แม่ฮ่องสอน


        นักเดินทางขาลุยต้องไม่พลาดเส้นทางแม่ฮ่องสอน 1,864 โค้ง ใช้เวลาเดินทางจากเชียงใหม่ประมาณ 6 ชั่วโมง การเดินทางสุดมันส์กับโค้งตลอดเส้นทางทางสุดระทึกใจ เตรียมยาแก้เมารถแล้วไปลุยกัน...


แว๊น!!!


        เริ่มการเดินทาง มีตั๋วโปรโมชั่นถูกๆจองไว้นาน แต่มีตังค์ในกระเป๋าน้อยจึงตัดสินใจแบกเต้นท์หลังเล็กๆไปด้วย กะว่าค่ำที่ไหนก็นอนที่นั่นหรือไม่ก็หาที่พักที่ถูกที่สุดเพราะทริปนี้แทบไม่ได้วางแผนอะไรแน่นอนเลย เพิ่งตัดสินใจไปแม่ฮ่องสอนจนใกล้ถึงวันเดินทาง...ด้วยความคิดที่ว่าขาลุยต้องไปแม่ฮ่องสอน ตัดสินใจแบกเป้ขนาด 75+15 L และเป้ใบเล็กๆอีก 1 ใบ หนักมากๆ หนักจริงๆ เพราะใส่เต้นท์ไปด้วย 1 หลังเล็กๆ กะว่าทริปนี้ต้องคุ้มค่าและประหยัดแน่นอน...แต่ต้องย่นระยะทางด้วยเครื่องบิน เดินทางจากหาดใหญ่-เชียงใหม่ ผมจะใช้วิธีเช็คอินผ่าน iPad เพื่อให้สะดวก จะได้ไม่ต้องกังวลในการเช็คอินที่สนามบิน กระเป๋าก็หนักไม่ต้องไปยืนแถวรอเช็คอินให้เสียเวลา ถึงสนามบินแล้วก็ไปพิมพ์ Boarding pass ได้ที่เครื่องอัตโนมัติ ผมทำแบบนี้ทุกครั้ง...(เว้นแต่เครื่องมันจะพิมพ์ไม่ได้ สแกนบาร์โค้ดไม่ได้ เคยเจอเหมือนกัน)


ใช้เวลา 2 ชั่วโมง ก็บินตรงจากหาดใหญ่ถึงเชียงใหม่ รูปนี้อีก 10 นาทีจะ 6 โมงเย็น ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำ ย้อนแสงแต่ก็อยากถ่าย เป็นรูปแรกที่ถึงเชียงใหม่ ลำนี้แหละที่ผมนั่งมา


โบกรถแดงจากในสนามบินออกไปที่พัก (60 บาทแหนะ) อย่างที่เกริ่นไว้ว่าทริปนี้เน้นประหยัด ผมจองที่พักไว้ผ่านทางเว็บจองที่พักเป็นเกสเฮาส์ชื่อว่า วอล์คอินน์ เกสต์เฮาส์ (Walkinn Guesthouse) ในราคาคืนละ 120 บาท ผมเป็นคนไทยคนเดียวที่นี่ ที่พักเป็นห้องรวม 6 เตียง ผมจองไว้ 1 เตียง เป็นแบบห้องรวม มีเพื่อนร่วมห้องเป็นหนุ่มอเมริกัน 2 คน สาวฝรั่งอีก 2 คน (ไม่ได้คุยด้วยว่ามาจากไหน) และข้างๆเตียงผมเป็นสาวหมวยจากจีนอีก 1 คน หน้าตาสวยเลยทีเดียว...


มีที่ตั้งของบนหัวเตียง ตั้งของได้เยอะเลย ฝนังก็ทาสีม่วงเชียว...

หมอน ผ้าปูเตียงดูสะอาดดี เตียงที่นี่ไม่ได้เป็นเตียงสองชั้นเหมือนที่ผมเคยพักครั้งก่อน แต่ก็ดีเหมือนกันไม่ต้องปีนได้เห็นหน้ากันชัดๆ เตียงข้างๆก็เป็นของสาวจีนคนสวยคนนั้นเอง...ห่างกันนิดเดียว 



ถัดไปอีกเตียงก็หนุ่มอเมริกันนั่งกางแผนที่วางแผนเที่ยว ในห้องไม่มีแอร์ แต่มีพัดลม 2 ตัว อากาศตอนค่ำก็ไม่ร้อนเท่าไหร่ แต่ฝรั่งถอดเสื้อ


นี่เป็นเตียงของผม ราคาคืนละ 120 บาท ถือว่าคุ้มสุดๆ เพราะนอนคืนเดียว ตื่นเช้าก็ต้องเดินทาง สัมภาระเยอะเลยทีเดียว เวลาไปไหนจะเอาปลั๊กไฟต่อพ่วงไปด้วยเพราะอุปกรณ์เยอะ ไว้สำหรับชาร์ตแบตสำรอง เพราะต้องตะลอนไม่รู้ว่าจะมีที่ชาร์ตตอนไหน ผมต้องจึงต้องเตรียมพร้อมเสมอ...

หน้าห้องมีโต๊ะให้นั่งเล่น อ่านหนังสือ ฝนังก็ทาสีเดียวกับในห้อง โดยรวมก็โอเค คุ้มราคา ห้องน้ำรวมมีทุกชั้น เป็นห้องน้ำเล็กๆ มีน้ำอุ่นด้วย แต่ไม่ได้ถ่ายรูปมา


ผมตื่นตี 5 อาบน้ำเสร็จรีบแบกเป้เดินออกจากเกสเฮาส์ไปเรื่อยๆก็มาโผล่หน้าโรงเรียนคนดัง อิอิ ถ่ายรูปเป็นที่ระทึกสักหน่อย...น้องๆทยอยมาโรงเรียนแต่เช้า เวลาในรูปคือ 07.10 น.


เดินผ่านหน้าโรงเรียนยุพราชฯมานิดหน่อยเจอแยกเลี้ยวซ้าย ก็เจอพิพิธภัณฑ์พื้นถิ่นล้านนา ไม่รู้ข้างในมีอะไรบ้าง เช้าๆยังไม่เปิด 


ตรงข้ามกับพิพิธภัณฑ์พื้นถิ่นล้านนา ก็เป็นอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ผู้สร้างเมืองเชียงใหม่


เดินเลียบข้างๆอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ก็เจอวัดอินทขีลสะดือเมือง จุดนี้น่าจะเป็นใจกลางเมืองเชียงใหม่ มีเณรน้อยกวาดขยะอยู่ 1 รูป และได้ยินเสียงสวดมนต์พรึมพรำจากด้านในวิหารหลังนี้ ผมก็คิดว่าต้องเป็นพระแน่ๆ แอบเข้าไปดูเป็นชาวบ้านผู้ชาย นั่งสวดมนต์อยู่คนเดียวเป็นทำนองล้านนาฟังไม่ค่อยคุ้นนัก 


เดินผ่านวัดอินทขีลสะดือเมืองมานิดเดียวก็เจอร้านข้าวมันร้านดังของเมืองเชียงใหม่ ร้านข้าวมันไก่เกียรติโอชา มีคนรีวิวกันเยอะแล้ว มีข้าวมันไก่ หมูสะเต๊ะ แต่ผมสั่งข้าวมันไก่จานเดียวเบาๆ เพราะต้องเดินทางไปแม่ฮ่องสอน ไม่กล้ากินเยอะ...กลัวอ้วก ฮาา

ทานมื้อเช้าเสร็จเกือบจะ 8 โมง ผมก็เพลินไปหน่อยไม่รีบเร่งอะไร โบกรถแดงให้ไปส่งที่ขนส่งอาเขต เดี๋ยวนี้มีถึงอาเขต 3 มันก็ใกล้ๆกันนั่นแหละ ผมบอกโชเฟอร์ว่าจะไปคิวรถตู้แม่ฮ่องสอน คนขับก็พาไปจอดอีกที่นึงจนได้เหมือนจะไปเข้าคิวรับคนต่อ ให้เราเดินเอา...คิดดูเป้ใบใหญ่ซะขนาดน้าน ก็รีบเดินข้ามฝั่งมา จริงๆผมเคยไปปายเมื่อ 6 ปีที่แล้วก็รีบเดินไปซื้อตั๋วรถตู้ที่คิวเปรมประชา



ให้ตายเหอะ...ได้เที่ยว 10.30 น. ขณะนั้นประมาณ 08.30 น. นั่งรออีก 2 ชั่วโมง...ด้วยความชล่าใจของผมไม่ได้โทรมาจองก่อน ทริปนี้ผมไปแบบเอ้อละเหยมากคือไม่ได้กะเกณฑ์อะไรเท่าไหร่ไปวางแผนเอาข้างหน้า ใจเย็นเกินไปแล้ว... ราคาตั๋วเชียงใหม่-แม่ฮ่องสอน 250 บาท 


ไหนๆก็นั่งรอแล้ว ถ่ายรูปเก็บรายละเอียดมาฝากเพื่อนๆเผื่อว่าจะเป็นประโยชน์ คิวของเปรมประชาจะโทรจองได้แต่ให้มารับตั๋วก่อนเวลารถออก 1 ชั่วโมง ไม่งั้นชื่อจะตัดไปเองโดยอัตโนมัติ ต้องจองใหม่ไม่ว่าจะเป็นคิวเชียงใหม่ ปาย หรือแม่ฮ่องสอน แนะนำเลยใครไปเที่ยวควรซื้อตั๋วไว้ก่อนเลย ไม่งั้นอาจไม่มีรถกลับ...


บรรยากาศขนส่งอาเขตเชียงใหม่ก็ตามรูปประมาณนี้ อากาศหนาวนะตอนเช้า ผมใส่เสื้อกันหนาว และมีผ้าพันคอบางๆ 1 ผืน


ไปคันนี้แหละ...จ๊ากกก นั่ง 8 ชั่วโมงเชียวนะ ไม่ไหวหรอก รถเมล์ส้มแห่งตำนาน หรือที่เค้าเรียกกันว่ารถหวานเย็น นั่งกันเมื่อยเลยทีเดียวกับเส้นทาง 1,864 โค้ง ส่วนมากก็มีฝรั่งและชาวบ้านท้องถิ่นที่โดยสารรถเมล์ ใครชอบลุยชิวๆก็ลองดูครับ


นั่งรอไปเรื่อยๆ 2 ชั่วโมงกว่า...คิดในใจจะไปถึงกี่โมงเนี้ย ไปถึงแล้วยังไม่รู้เลยจะนอนที่ไหน...ยังไม่ได้จองไว้


และแล้วก็ถึงเวลารถตู้ออก รถเค้าออกตามเวลานะไม่ใช่รอคนเต็ม ถึงคนจะเต็มก่อนก็ยังไม่ออก ใช้เวลา 6 ชั่วโมงน้อยกว่ารถเมล์นิดนึงแต่ก็ดีกว่าเยอะ...อีก 6 ชั่วโมงเจอกัน Go Go Go!!!

นั่งชิวผ่านมาได้ครึ่งทาง...แต่เป็นครึ่งทางเชียงใหม่-ปาย เท่ากับ 1 ใน 4 ของระยะทางทั้งหมด แต่เป้าหมายของเราคือแม่ฮ่องสอน หนทางอีกยาวไกลนับพันโค้ง รถจอดแวะพัก 15 นาที มีอาหารเครื่องดื่มจำหน่าย นั่งพักเปลี่ยนอริยาบถก่อนเดินทางลุยต่อ...

แพล่บๆ หวานๆ อร่อยม๊วกกก ทริปนี้กินสตอเบอรี่เยอะมาก...อิจฉาละสิ


นั่งนับโค้งเล่นๆผ่านไป 3 ชั่วโมงเราก็มาถึงครี่งทางแล้ว ถึง อ.ปาย เวลาบ่ายโมงครึ่ง คนยังน้อย รถจอดส่งคนที่โดยสายครึ่งทางที่ขนส่งปาย คนขับรถก็บอกกับผู้โดยสารทุกคนว่า "ลงเดินแอ่วก่อนเน้อ ล้อมีปัญหาเปลี่ยนล้อสัก 10 นาที" @$%^#&**(@& เอ่อ...เส้นทางนับพันโค้งถ้าล้อมีปัญหานี่นั่งใจสั่นตลอดทางเลยนะ และแล้วจะลงไปเดินเก็บภาพคิดถึงความหลังกันหน่อยเพราะเคยแบกเป้มาแล้วเมื่อ 6 ปีที่แล้วไม่ค่อยตื่นเต้นสักเท่าไหร่...แล้วก็ได้เวลาออกเดินทางทางไป อ.เมืองแม่ฮ่องสอนกันต่อ


พอถึงแม่ฮ่องสอน รีบกระโดดลงรถตู้นั่งมอไซต์รับจ้างไปหาร้านเช่ารถแบบด่วนจี๋ รีบมากๆ ตอนนั้นเกือบจะบ่ายสี่โมงครึ่งแล้ว ผมกะว่าจะไปนอนที่ปางอุ๋ง ไม่เคยไป ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน รู้เพียงว่าประมาณ 40 กว่ากิโลจาก อ.เมือง และผมคิดว่าผมต้องแว๊นไป...และแล้วก็ได้มอไซต์มาในราคา 180 บาท เดาทางเอาคงไปไม่ยาก ปางอุ๋งย้อนกลับไปทางอ.ปางมะผ้านิดนึง (ปาย-ปางมะผ้า-แม่ฮ่องสอน) แล้วเลี้ยวแยกซ้ายเข้าไปไกลเหมือนกันแต่ผมเป็นขาซิ่งอยู่แล้ว รีบแว๊นแข่งกับดวงอาทิตย์ที่จะตกซึ่งตอนนั้นผมยังไม่รู้ชะตากรรมข้างหน้าว่าจะเจออะไรบ้าง...แว๊นอย่างเดียว อากาศหนาวๆสบายมาก ลุยยยยยยยยยยย!!!

วู้ววววววว แว๊นประมาณ 40 นาที ก็ถึงปางอุ๋งมัน Amazing มากๆ อากาศหนาวๆ แว๊นแบบรีบๆแข่งกับดวงอาทิตย์ที่จะตกดินแต่ผมก็ชนะ...

ถึงแล้วววว ตื่นตาตื่นใจมาก บรรยากาศหนาวๆมีแอ่งน้ำ เงียบ สงบ คนไม่เยอะ ไม่วุ่นวาย ฟินสุดๆ

มีคุณลุงเจ้าหน้าที่มาต้อนรับชี้นำให้จอดมอไซต์แล้วก็ถามว่ามีเต้นท์มามั้ย ผมตอบไปว่าแบกมาไกลเลย(จากหาดใหญ่โน้น)...คุณลุงก็บอกเลือกเอาเลยอยากจะกางตรงไหน และแล้วก็สร้างที่นอนคืนนี้ฟินสุดๆ บรรยากาศริมน้ำ อากาศหนาว ใต้ต้นสน เต้นท์ผมเล็กที่สุดเลยเมื่อเทียบกับเต้นท์คนอื่นๆ และเมื่อเอากระเป๋าเข้าไปในเต้นท์เต็มเลยทีเดียว ผมคนเดียวก็ตัวใหญ่อยู่แล้ว...ฮ่าๆ

พระอาทิตย์กำลังจะลับ...บรรยากาศโรแมนติกมาก 

มีเต้นท์ประมาณ 10 กว่าหลังในคืนนี้ เงียบสงบไม่วุ่นวายและที่สำคัญไม่มีไฟฟ้า...ผมต้องใช้ชีวิตในเต้นท์คนเดียวแบบไม่มีไฟฟ้าจนถึงตอนเช้า

มีร้านค้าเล็กๆอยู่หนึ่งร้านอยู่ใกล้ห้องน้ำห่างจากจุดกางเต้นท์ประมาณ 200 เมตร มีเพียงมาม่าคัพ น้ำดื่ม และขนมนิดหน่อย แม่ค้าบอกว่าที่นี่จะมีการปั่นไฟในตอนหกโมงครึ่งซึ่งต้องมาเสียบปลั๊กที่ร้านตรงนี้จุดเดียว ผมก็วางแผนไว้ว่าพอค่ำแล้วจะมานั่งชาร์ตอุปกรณ์ต่างๆไว้ เพราะยังไม่รู้ว่าจะไปไหนต่อกลัวจะไม่มีแบตเตอรี่ใช้งาน เลยมานั่งผิงไฟชาร์ตโทรศัพท์ไปพลางเล่นไปพลางนั่งฟังเค้าคุยกันไปพลาง สนุกดี ฟินสุดๆ ตอนนั้นอากาศหนาวมากเลยทีเดียว..ผมมีเพียงไฟฉายเล็กๆกับไม้เท้าเดินป่า 1 อัน มันช่วยให้อุ่นใจได้จริงๆ เวลาตั้งแคมป์คนเดียว เพราะมันเป็นอาวุธได้เลย...ผมถือมันออกมาด้วยเวลาออกมาห้องน้ำ

ชีวิตผมในเต้นท์ที่ปางอุ๋ง ความมืด เงียบ อากาศหนาว และหนาวแบบสุดๆในตอนใกล้รุ่ง ผมเอาอุปกรณ์มาพร้อมแต่...มันไม่พร้อมที่จะเผชิญความหนาว ผมมีผ้าห่ม 1 ผืน แต่มันก็ไม่หนาพอ มีเสื่อบางๆ 1 ผืนไว้รองปูนอนในเต้นท์ และมีหมอนเป่าลม 1 ใบ เป่าลมแล้วเอาผ้าเช็ดตัวรองอีกทีนึงก็พอนอนได้...ลำบากแต่สนุกดี บรรยากาศปางอุ๋งในคืนนั้น มันเงียบจนผมได้ยินเสียงคู่รักเต้นท์ข้างๆคุยกันเลย...

มันหนาวจนผมตื่นตั้งแต่ตี 3 หนาวสุดๆ หนาวจริงๆ พอใกล้สว่างโผล่ออกมาจากเต้นท์แสงอาทิตย์เริ่มส่อง

บรรยากาศยามเช้าอากาศดีมาก และวันนี้เป็นเช้าวันวาเลนไทน์ด้วย...วันแห่งความรัก แต่ผมโดดเดี่ยวอยู่ในป่าในห่างไกลผู้คน

มีคู่รักนั่งแพไม้ไผ่ชมวิวรอบๆอ่างเก็บน้ำปางอุ๋ง น่าอิจฉา...

ถนนที่เข้ามายังที่ตั้งแคมป์เมื่อคืน


อีกมุมเมื่อมองลงไปที่สันเขื่อนที่นักท่องเที่ยวชอบไปถ่ายรูปกัน ที่อ่างน้ำก็มีหงษ์ดำคู่ แต่ผมไม่ได้ถ่ายรูปไว้


ขี่มอไซต์ย้อนออกมาสัก 300 เมตร ก็จะเจอสันเขื่อนที่นิยมถ่ายรูปกันยามเช้า บรรยากาศเงียบสงบ


พาโนรามาสักรูป...แบบกว้างๆ มีม้าด้วยแต่ไม่กล้าเข้าไปถ่ายรูป

แนวสันอ่างเก็บน้ำ อากาศสบายๆ

ท่าแพสำหรับลงล่องแพไม้ไผ่ ใครมาเป็นคู่ขอให้แพล่ม แอบแช่ง ฮ่าๆ

เก็บเต้นท์ เตรียมเดินทางต่อ มีป้ายใหญ่ๆให้ถ่ายรูปเป็นที่ระลึก

มุมกว้างๆอีกสักรูปก่อนลาปางอุ๋ง


บรรยากาศลานกางเต้นท์

แว๊นจนมาถึงบ้านรักไทยซึ่งห่างจากปางอุ๋งประมาณ 7 กิโลเมตร ซึ่งจะมีร้านอาหารจีนยูนานชื่อดังคือร้านลีไวน์รักไทย เลยฟาดไปหนึ่งมื้อ 

เห็ดผัดน้ำมันหอย สดดี

หมั่นโถวนุ่มๆ สั่งเป็นชุดมาพร้อมกับขาหมูยูนาน ไม่คิดว่าจะเยอะขนาดนี้

ซุปฮ่องเต้ ชื่อฟังน่ากิน แต่ก็ตามภาพ...ฮา

พระเอกของมื้อนี้ หิวมาจากปางอุ๋งเลยฟาดขาหมูยูนานไป 1 ขา อิ่ม...

หน้าร้านลีไวน์รักไทย ป้ายอักษรจีนขนาดใหญ่

ป้ายหน้าร้านมีคู่รักมาถ่ายรูปกันสนุกสนาน...เจอคู่นี้ตั้งแต่ขนส่งเชียงใหม่ แอบอิจฉา ฮาา

ใกล้ๆกันก็มีร้านขายของ 4-5 ร้าน เป็นผลิตภัณฑ์จากชาวเขา ผลไม้อบแห้ง และชา จะมีให้ชิมชาฟรีทุกร้าน..

มีหลักกิโลยักษ์ให้ถ่ายรูปเป็นที่ระทึก สุดเขตประเทศไทย

บ้านรักไทยก็มีอ่างเก็บน้ำอยู่ตรงกลาง

ขี่รถเล่นเข้าไปในหมู่บ้านก็เจอเด็กน้อย 2 คน ขอถ่ายรูป 1 รูปแล้วก็แว๊นต่อ...กลับจากบ้านรักไทยออกไปถนนสายหลักปางมะผ้า-แม่ฮ่องสอน

ก่อนถึงถนนสายหลักแวะน้ำตกผาเสื่อแปบนึงก็เจอคู่รักคู่เดิมอีก...โธ่ บาดใจ ฮาา

แวะอาบน้ำ เย้ย! ชื่อห้วยน่ากลัวดีแวะถ่ายรูปสักหน่อย ฮ่าๆ

แว๊นกลับจากปางอุ๋งระหว่างทางก็มีอีกจุดให้แวะคือ ซูตองเป้ สะพานไม้แห่งศรัทธา แม้ตอนนั้นแดดจะร้อนไปหน่อย แวะเก็บภาพมาฝากนิดหน่อย ถ้ามาตอนเช้าๆจะดีมาก

มัวแต่โอ้เอ้อยู่ที่ปางอุ๋งกับบ้านรักไทยมาถึงที่นี่ก็เกือบบ่ายโมง โทรจองคิวรถตู้ไว้ 4 โมงเย็นเพื่อจะไปแวะปายอีก 1 คืน

สะพานซูตองเป้ไปยังสวนธรรมภูสมะ ตอนบ่ายโมงร้อนไปหน่อย ไปเช้าๆหรือหน้าฝนนี่แจ่มเลย

พื้นสะพานทำจากไม้ไผ่นำมาสานขัดกัน เวลาเดินมาเสียงดังลั่น

เจดีย์ข้างหน้าคือสวนธรรมภูสมะ แดดร้อนไปหน่อยเดินไปไม่ถึง ถ่ายรูปได้แค่นี้และอุดหนุนแม่ค้าที่ร้านตรงทางขึ้นสะพานแล้วแว๊นต่อ

เจอถนนสายหลักแล้ว ออกมาจากแยกบ้านกุงไม้สักที่เราเลี้ยวซ้ายเข้าไปเมื่อวาน ถ้าเลี้ยวซ้ายก็ไปปางมะผ้า และไปปาย ตามลำดับ ผมก็วกไปทางปางมะผ้าอีกนิด ไปถ้ำปลาสักหน่อย ลุย!!!

ขอบคุณแผนที่จาก www.siamfreestyle.com

ถึงแล้วถ้ำปลา น้ำใส ปลาพลวงตัวใหญ่ๆ
จ่ายค่าบำรุง 20 บาท ก็เข้าไปให้อาหารปลา มีปลาเยอะ ปลาพลวง ตัวใหญ่มาก ชอบกินผัก

น้ำใสนิ่ง เห็นตัวปลาชัดเจน

มีช่องหินมีปลาเยอะเลย ด้านในก็ร่มรื่นไม่ค่อยมีอะไรมาก แต่ข้างนอกทางเข้ามีสินค้าจำหน่ายหลายร้านและมีร้านอาหารเยอะเลย แต่ผมยังอิ่มขาหมูยูนานจากบ้านรักไทยให้อาหารปลาเสร็จ ซื้อของนิดหน่อยก็รีบแว๊นเข้าเมืองแม่ฮ่องสอนเพื่อส่งรถคืนและไปขนส่ง

ตัดตอน...เดินทางต่อไปปาย ใช้เวลาเกือบ 3 ชั่วโมง โชคดีนั่งรถตู้ได้นั่งหน้าข้างคนขับ นั่งนับโค้งเล่นๆก็ถึงปาย เมื่อถึงปายก็แบกเป้หนักๆไปหาร้านเช่ารถ บร๊ะเจ้า รถเช่าหมด เป้ก็หนักต้องนั่งรออยู่พักใหญ่จนค่ำ ตอนนั้นยังไม่มีที่นอนเลยไม่ได้จองไม่ได้คิดไม่ได้หาไม่ได้วางแผน คิดแค่ว่ามีเต้นท์อยู่ มีที่ไหนให้กางได้ก็เอาตรงนั้นแหละ...และแล้วก็ได้รถเช่ามาแว๊นราคา 140 บาท รีบแว๊นไปหาที่พัก ไปที่สะพานริมแม่น้ำปายก็เห็นลานกางเต้นท์ เข้าไปติดต่อจ่ายค่ากางเต้นท์ 100 บาท มีห้องน้ำพร้อมน้ำอุ่น เยี่ยมไปเลย...กางเต้นท์ในความมืด เสร็จแล้วอาบน้ำแล้วออกไปถนนคนเดิน...ดังรูป ก็ไม่ได้ตื่นเต้นอะไร เคยมาแล้วเมื่อ 6 ปีที่แล้ว คุ้นกับสถานที่ตอนมาถึงปายตอนเย็นอากาศยังไม่หนาว เหนื่อยๆด้วยอาบน้ำเสร็จก็ไม่ใส่เสื้อกันหนาว ขี่มอไซต์มาแวะเวียนที่วัดหลวง แล้วก็ไปถนนคนเดินใกล้ๆกันพอมาเดินถนนคนเดินสักพักในรูปนี้ประมาณ 2 ทุ่ม อากาศเริ่มหนาว และหนาวขึ้นเรื่อยๆ...หนาวจริงๆ คิดผิดแล้วที่ไม่ได้ใส่เสื้อกันหนาวมา

ของเยอะแยะไม่รู้จะซื้ออะไร ที่ชอบก็ร้านนี้ทำโปสการ์ดด้วยรูปเรา ส่งไลน์ให้เจ้าของร้านเค้าก็ปริ้นออกมาให้น่ารักดี 3 แผ่น 100.- ไปแวะอุดหนุนกันได้ครับ เสร็จแล้วก็เดินเล่นๆจนร้านเริ่มเก็บกันแล้วก็แว๊นกลับไปยังเต้นท์ริมแม่น้ำปายอันแสนวิเศษในคืนนี้...

ตื่นเช้ามาชีวิตในเต้นท์หลังเล็กๆ ก็เหมือนเดิมอากาศหนาวยามเช้าแทบไม่อยากรูดซิปออกไปดูเลย ริมแม่น้ำด้วย หนาวๆ ผมคว้าโทรศัพท์มาโทรจองรถตู้กลับเชียงใหม่ มีรถว่างเที่ยวสิบเอ็ดโมง ก็โอเคไม่รีบจนเกินไป

นี่ไงโรงแรมหรูที่ล็อบบี้กว้างกว่าสนามฟุตบอลและมีสระว่ายน้ำขนาดกว้างหลายกิโลเมตร ฮาาา

สระว่ายน้ำส่วนตัว

โทรจองรถแล้วผมก็มีเวลานิดหน่อยแว๊นไปวัดพระธาตุแม่เย็นไปสูดอากาศบริสุทธิ์ที่เดิมแต่เวลาเปลี่ยน...และใจผมก็คงเปลี่ยนไปแล้วตอนนี้จากที่เคยมาเมื่อ 6 ปีที่แล้ว

ออกจากพระธาตุแม่เย็นก็แว๊นไปทางถนนสายหลักผ่านร้าน Coffee in Love สะพานประวัติศาสตร์ กองแลน แต่ผมไม่แวะแล้วเคยมาหมดแล้ว แค่แว๊นมาระลึกความหลังแล้วก็เข้ามาแวะกินข้าวร้านใกล้ๆสี่แยกปายหนาว ในรูปนี้คือโฮมสเตย์ที่ผมเคยนอนเมื่อ 6 ปีที่แล้ว ตอนนี้เป็นร้านผัดไทไปแล้ว เลยถ่ายรูปมาย้อนอดีตกันนิดนึง

ใกล้ถึงเวลาผมรีบเก็บเต้นท์ อาบน้ำ และอำลาเมืองปาย มุ่งหน้าสู่เชียงใหม่อีกครั้ง วันนึงเช้ากับเย็นเนี้ยผมอยู่แทบคนละที่กันเลย เดินทางแบบทรหดมากๆแต่คุ้มกับเวลา...ได้เวลารถออกจากปาย อีก 3 ชั่วโมงเจอกันใหม่ที่เชียงใหม่

ตัดตอนนั่งรถตู้จากปาย 3 ชั่วโมงถึงเชียงใหม่ เช่ารถมอไซต์แล้วลุยต่อ...
ใช้เวลา 3 ชั่วโมงจากปายก็ถึงเชียงใหม่ สรุปเลยก็ลงรถปุ๊บไปหาเช่ารถที่ประตูท่าแพแล้วก็รีบแว๊นไปม่อนแจ่ม อ.แม่ริม ใช้เวลา 40 นาทีจากเชียงใหม่ผ่านปางช้างแม่สา แวะกินส้มตำเห็นร้านน่านั่งดี ลงไปในลำธารเลย "ม่อนแจ่ม" อยู่ที่อ.แม่ริมนะครับ ไม่ใช่ อ.แม่แจ่ม ชื่อคล้ายๆกันอย่าสับสนล่ะ


ตอนนี้เหนื่อยๆเพราะเดินทางมาจากปายภาพจะข้ามๆหน่อย จนมาถึง "ม่อนอิงดาว" ข้างๆม่อนแจ่มจะมีหลายม่อนชื่อคล้ายๆกัน เข้ามาแล้วสังเกตุดูจากป้ายตลอดสองข้างทาง เวลาก็บ่ายแล้วผมรีบติดต่อกางเต้นท์ คุณออยเจ้าของม่อนอิงดาวใจดี ลดให้จาก 150 บาท เหลือ 100 บาท ผมก็รีบกางเต้นท์ ข้างๆเป็นเต้นท์ของม่อนอิงดาว หลังละ 500 บาท นอนได้ 3 คนเลย อุปกรณ์พร้อม ของผมก็ยังเล็กที่สุดทั้งดอย หมายถึงเต้นท์นะ ฮาาา


มาถึงที่นี่รู้สึกเวลามันเดินช้าลง ไม่ต้องรีบเร่ง ผมนอนเปิดประตูเต้นท์อยู่แบบนี้พักใหญ่

พระอาทิตย์กำลังจะลับแนวเขา ด้านหลังของม่อนอิงดาว

เรียงรายไปด้วยเต้นท์ บรรยากาศดีมาก มีหลายครอบครัวนั่งปิ้งย่างหน้าเต้นท์ ที่ม่อนอิงดาวบริการ wifi ฟรีด้วย ห้องน้ำก็สะอาดสะดวกสบาย

ตื่นเช้ามาไม่เร่งรีบ ถ่ายรูปเล่นเรื่อยเปื่อย ม่อนอิงดาวกว้างขวางดี มีที่กางเต้นท์เยอะ วิวก็โอเคดี

ม่อนแจ่มห่างจากม่อนอิงดาวนิดหน่อย ขี่มอไซต์ประมาณ 2 นาทีก็ถึงม่อนแจ่ม มีร้านอาหาร ที่นั่งเป็นเพิงไม้ไผ่แบบนี้ วิวสวยเลยทีเดียว แต่คนเยอะตอนที่ผมมา และยังไม่หิวก็ไม่อดลองชิมอาหารที่นี่

วิวสวยมากๆ เหมือนอยู่ที่ขอบฟ้าเลย

น้องๆชาวเขาน่ารัก 

น้องๆเผ่าม้ง ม่อนแจ่ม

กิจกรรมอีกอย่างที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจคือล้อเลื่อนม้ง ผมเรียกว่าโกคาร์ทม้ง สนุกเลยทีเดียว เที่ยว จะมีรถกระบะลากขึ้นไปบนเนิน ห่างไม่กี่ร้อยเมตร แล้วให้เราบังคับลงมา บังคับยากอยู่เหมือนกันแต่ลองมาแล้วสนุกดี ต้องใช้เท้าบังคับทิศทาง และใช้มือดึงบังคับเบรก แต่หากใครไม่กล้าขับเองก็มีแบบนั่งคู่ได้ ให้ชาวม้งขับพาลงมา และใกล้ๆจุดบริการล้อเลื่อนนี้ก็มีร้านค้าจำหน่ายของที่ระลึก สตอเบอรี่ก็มี หรืออยากกินชิมข้าวโพดย่างหอมหวานก็มีจำหน่าย

แว๊นมอไซต์เช่าคันเดิมลงจากม่อนแจ่มมานิดนึงก็แวะสวนอีเดน และม่อนม่วน เป็นไร่สตอเบอรี่ เก็บเองได้เลย อยากกินเท่าไหร่เก็บเอาเลย แต่มาชั่งแล้วจ่ายเงินด้วยนะ

และแล้วเวลาของต้องเข้าเมืองอีกครั้ง บอกลาม่อนแจ่ม การเดินทางง่ายๆไม่ไกลนักจาก อ.เมืองเชียงใหม่และไปเที่ยวได้ตลอดปี
แบกเป้ใบใหญ่ๆแว๊นกลับเข้าเมืองใช้เวลา 45 นาทีจากม่อนแจ่มก็มาถึงประตูท่าแพ คืนรถเช่าและเดินไปหาที่พักไม่ไกลกันนัก

สุดท้ายก็ได้ที่นี่ เชียงใหม่แบ็คแพคเฮาส์ ในราคาคืนละ 120 บาท ถูกและคุ้มค่าสุดๆ เป็นเตียงสองชั้นแต่ได้ที่นอนเตียงบน ตัวใหญ่แบบผมนี่ลำบากใช้ได้เลย ปีนขึ้นปีนลง เก็บภาพมานิดหน่อย เหนื่อยกับการแว๊นกลับจากม่อนแจ่ม อากาศเปลี่ยนอยู่ตลอดเพราะตอนอยู่ม่อนแจ่มอากาศหนาว พอเข้าเมืองอากาศร้อน ทรหดใช้ได้เลยชีวิต เอิ๊กๆ

อาบน้ำเสร็จก็แอบงีบนิดหน่อย บ่ายคล้อยก็ออกหากิน อิอิ แว๊นไปร้านเดิม ร้านก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่นิมมาน สั่งน้ำตะไคร้มาดับร้อน 1 ขัน น่ารักเลยทีเดียว


มาที่นี่พลาดไม่ได้ต้องสั่งก๋วยเตี๋ยวคั่วทะเลอบไข่ หน้าตาดังรูป น่ากินมั้ยล่ะ...แพล่บๆ

กินเรื่อยๆ ชิวๆ สั่งเกี๊ยวกุ้งทอดซอสเขียวหวานมาลอง โอ้ว อร่อยเลยทีเดียว ซอสเขียวหวานข้นถึงเครื่อง 
อิ่มแล้วและแน่นอนเดินอีก 10 ก้าว เข้ามาในร้าน iBerry ชื่อดัง ลูกค้าเยอะมากทั้งไทยและต่างชาติ แทบไม่มีที่นั่ง ถ่ายรูปนิดหน่อยแล้วก็จากไป หมาตัวนี้เมื่อก่อนมันเลยสีเหลืองแต่ตอนนี้มันสีชมพูบานเย็นซะแล้ว...

ตกเย็นแอบมางีบนิดนึง ค่ำก็ออกมาถนนคนเดินท่าแพ วันนี้วันอาทิตย์ คนเยอะมาก ถ่ายรูปวัดเจดีย์หลวงมาฝากนิดหน่อย  ช้อปนิดหน่อยหมดแรงก็กลับไปนอน Zzz

ตื่นเช้ามาก็ออกหากิน วันสุดท้ายของทริป มาร้านเดิมอีกครั้ง "เกียรติโอชา" ก่อนหน้านี้มาแบบรีบๆกินจานเดียวเบาๆ ครั้งนี้สั่งไก่สับเป็นจาน ในรูปนี่จาน 80 ข้าว 1 จาน จะมีเสริมมาให้อีก 1 ถ้วย (เหมือนจะรู้) มีน้ำจิ้มที่ยังไม่ผสมพริกกับขิง มีมาให้เราผสมเองชอบแบบไหนปรุงได้ตามใจชอบ ซีอิ้วดำ และน้ำซุปให้ซดอีก 1 ถ้วย รวมแล้ว 100 บาทถ้วน สำหรับผมกินข้าวมันไก่บ่อย ใครอยากลองสักครั้งก็ลองไปชิมดู อยู่ข้างๆอนุสาวรีย์สามกษัตริย์

ตื่นเช้าๆยังมีเวลาเหลืออีก 1 วัน เพราะเครื่องบินออก 18.30 น. ยังมีเวลาให้เตร็ดเตร่อีก 1 วันเต็มๆ ที่พัก เชียงใหม่แบ็คแพคเฮาส์ก็ใจดีให้เช็คเอาท์เลทได้ เพราะผมเป็นคนไทยคนเดียวที่นั่น รถมอไซต์ก็เช่าที่นั่นอีก 1 วัน มีเวลาให้แว๊นไปสูดอากาศที่ดอยสุเทพ ผมก็แว๊นเรื่อยๆไม่รีบเร่งไปสูดอากาศ สัมผัสความหนาวก่อนลากลับ พร้อมซื้อเสื้อกลับมาหลายตัวเลยจากร้านค้าที่บนตำหนักภูพิงค์ฯ มาทุกครั้งก็ซื้อทุกครั้ง

พระธาตุวัดเจ็ดยอดเป็นพระธาตุประจำปีมะเส็งจะมีรูปปั้นงูเยอะเลยที่คนนำมาบูชาและแก้บน

เจดีย์วัดเจ็ดยอด แบบกว้างๆ ผมชอบ สวยดี ดูขลัง แต่ไม่เข้าใจด้านสถาปัตยกรรมและรายละเอียดเท่าไหร่

อีกรูป เจดีย์วัดเจ็ดยอด เก่าแก่ดี ในวัดก็มีคนมาทำบุญพอสมควร

เหนื่อยแล้ว แว๊นกลับมาที่พักเอาเสื้อที่ซื้อจากตำหนักภูพิงค์มาเก็บก่อน แล้วก็ออกไปกาดหลวงหรือตลาดวโรรส ซื้อของฝากกลับบ้าน แวะกินขนมจีนน้ำเงี้ยว 20 บาทเองถ้วยนี้

และแน่นอนช่วงนี้สตอเบอรี่เยอะ เจอร้านที่ลูกสตอเบอรี่ยังเป็นสีขาว แบบนี้แหละเหมาะเลยที่จะแบกกลับหาดใหญ่ มันจะได้ไม่เสีย 

กลับที่พักไปอาบน้ำ เจ้าของใจดีมากๆ บอกไม่ต้องรีบเร่ง อาบน้ำพักให้หายเหนื่อยก่อนค่อยกลับ ผมก็เรื่อยๆ เก็บกระเป๋าเตรียมตัว ตอนมามี 2 ใบ หนักจริงๆเพราะมีเต้นท์ 1 หลังกับขากล้องที่ผมไม่ได้ใช้งานเลย...(จะแบกมาทำไมเนี้ย)

ถึงเวลาอำลาเมืองเชียงใหม่แล้ว แบกเป้ใบใหญ่ๆ เป้ใบเล็กใส่ของสำคัญติดตัวอีก 1 ใบ และเพิ่มมาอีก 1 ถุงใหญ่คือสตอเบอรี่กับแคปหมู อยากบอกว่าทั้งหมดนี้ผมไม่โหลดใต้ท้องเครื่องเลย เอิ๊กๆ ทั้งหมดนี้แบกขึ้นเครื่องทั้งหมด

รูปสุดท้ายแล้วทริปสุดประทับใจก็จบลงจากหาดใหญ่-แม่ฮ่องสอน-ปางอุ๋ง-ปาย-ม่อนแจ่ม-เชียงใหม่ เดินทางเหนื่อยใช้ได้เลยทีเดียวแต่ก็คุ้มค่ากับขาลุยอย่างผม งบน้อยแต่อยากลุยต้องเหนื่อยหน่อย แบกเต้นท์มากางเอง นอนมืดๆไม่มีไฟฟ้า เงียบ สงบ หนาว มันเป็นประสบการณ์สุดวิเศษเลยทีเดียว ใครที่อยากลุยแต่ไม่กล้าต้องลองฉายเดี่ยวดูสักครั้ง ตลอดทางผมเจอมิตรภาพมากมายทั้งไทยและต่างชาติ ได้คิด ได้เห็นอะไรเยอะแยะตลอดทาง มันเป็นประสบการณ์และความรู้สึกที่ถ่ายทอดออกไปไม่ได้ หวังว่ารีวิวนี้จะสร้างความบันเทิงและเป็นแรงใจให้ใครได้ออกเดินทางเพื่อลุยดูบ้างสักครั้ง แม้รีวิวนี้อาจจะเขียนไม่ดีนัก รายละเอียดไม่เยอะ เพื่อนๆที่อยากสอบถามอะไร หลังไมค์ได้เลยครับ ขอบคุณที่อ่าน ขอบคุณที่มาแวะให้กำลังใจ ผมยังมีตั๋วโปรฯถูกๆอีกหลายใบ ไว้กลับมาแล้วจะรีวิวให้อ่านเล่นๆกันอีกแน่นอน ขอบคุณครับ

"The world is a book and those
who do not travel read only one page." – St. Augustine

โลกใบนี้เปรียบเหมือนหนังสือเล่มหนึ่ง และคนที่ไม่เคยเดินทางเลย
ก็เปรียบเหมือนคนที่อ่านหนังสือเพียงหน้าเดียว



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น